ตั้งชื่อเรื่องอย่างนี้ ใครฟังแล้วคงจะงงว่ายัยบ้าคนนี้มันจะเขียนถึงเรื่องของประตูไปทำไม
ช้าก่อนโยม โปรดใจเย็น น้องชายเอ๋ยใจเย็นๆ ก็เรื่องที่จะเล่า มันก็เป็นเรื่องประตู๊ ประตู กับคนซื่อบื้อคนหนึ่งน่ะ เป็นประสบการณ์เล็กๆน้อยๆ ที่อยากจะเขียนเก็บไว้ดูน่ะ
คือว่าสมัยนี้น่ะนะ อะไรต่อมิอะไรที่แม้แต้จะเป็นเรื่องง่ายๆในชีวิตประจำวันนั้นน่ะก็ล้วนต้องเกี่ยวข้องกับนวัตกรรมใหม่ และเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่เอามาประสมประสานกัน โดยเชื่อว่าไอ้นวัตกรรมใหม่
พวกนั้นจะช่วยให้ชีวิตของเราๆท่านๆสะดวกสบายขึ้นมากมายก่ายกอง
เหล่าบรรดาผู้ผลิตสินค้าก็ขยันคิด ขยันออกแบบ ขยันผลิตกันออกมาซะจริง ซึ่งนี่แหละที่กำลังจะกล่าวถึง ก็เทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับประตู ไงล่ะ
เอ! บางท่านอาจจะสงสัยทำไมต้องเป็นประตูด้วยล่ะ อย่างอื่นมีอีกเยอะแยะไม่รู้จักเอามาพูดถึง
แหม ก็พูดเรื่องอื่นมันก็ธรรมดาและไม่น่าสนใจน่ะสิคะท่านผู้ชม จะเขียนเรื่องทั้งทีก็ต้องหยิบยกเรื่องที่มันมิธรรมดาเป็นธรรมดา (เอ๊ะ! ยังไงวะจะธรรมดาหรือไม่ธรรมดากันวะเนี่ย แหะ แหะ ไม่ธรรมดาค่ะ โปรดอ่านต่อเถิด ขอร้อง)
อ้าว ถึงไหนแล้วล่ะ ลืม
อ้อ ก็เรื่องของประตูเนื่ยล่ะที่ดิฉันมักจะมีปัญหากับมันบ๊อย บ่อย จนต้องเพิ่มความระมัดระวังเป็นพิเศษ
ประตูที่ว่านี้ก็เป็นประตูเข้าออกธรรมดานี่ล่ะ แต่เขาทำออกมาให้มันไม่ธรรมดา รึบางทีมันก็แสนจะธรรมดา แต่ดันเข้าใจผิดคิดไปเองว่ามันไม่ธรรมดา ปวดเศียรเวียนหัวดีไหมล่ะท่านผู้ชม สำหรับตัวดิฉันเอง มีอยู่บ่อยๆที่ดิฉันต้องลุ้นว่าประตูที่ดิฉันจะผ่านเข้าไปนี้มันมีวิธีเปิดอย่างไรเหรอ
ด้วยความที่เป็นอะไรไม่ทราบที่มักให้มีโอกาสเจอะเจอกับประตูหลากรูปแบบเพราะ
ความที่ต้องไปติดต่อสถานที่ต่างๆ ซึ่งแต่ละที่ก็ออกแบบประตูให้ไม่เหมือนกัน เพราะ
ฉะนั้นความคุ้นเคยในแบบๆหนึ่งก็อาจใช้ไม่ได้ในอีกที่หนึ่ง
ปกติดิฉันจะคุ้นเคยกับประตูแบบผลักเข้าออกธรรมดา แต่มีบางที่ต้องมีเทคนิคค่ะ
ที่วัดแห่งหนึ่งที่ดิฉันต้องไปธุระ ประตูที่จะเปิดเข้าไปในส่วนสุสานของวัด ปกติจะเปิดแง้มๆให้ผลักเข้าได้ทันที
แล้วอยู่มาวันหนึ่ง ซึ่งเขาปิดอย่างเรียบร้อย ดิฉันก็นึกว่าเขาล็อค เลยขอให้คนมาช่วยเปิด เขาก็บอกให้ผลักเข้าไปเลย แต่..มันก็ไม่เปิด เขาก็เกาหัวแกรกแล้วเดินมาเปิดให้ โดยไม่ต้องใช้กุญแจเลยค่ะ แค่บิดล็อคนิดเดียวเท่านั้นเอง ประตูสวรรค์ก็เปิดแล้ว นี่ขนาดประตูธรรมดาที่ไม่มีเทคโนโลยีเลยนะเนี่ย ดิฉันอดเซ็งในความเฟอะของตัวเองไม่ได้ ก็เลยจำไว้ว่าอ้อประตูนี้นะมันเปิดอย่างนี้นะ เริ่มจำทีละอย่างเป็นทีละประตูไป แต่ก็ยังรู้สึกว่าคุ้นเคยกับการผลักประตูมากกว่าประตูแบบที่ต้องดึงเข้าหาตัว
อีกครั้งหนึ่งไปสมัครงาน ประตูเข้าบริษัทเป็นกระจกใสมีสองบานด้านซ้ายขวา มองเข้าไปเห็นคนอยู่ด้านใน ดิฉันหยุดชั่งใจสักครู่ เพื่อจะดุว่าเจ้าประตูนี้หนาจะเปิดทางไหนหนอ
คิดได้ดังนั้นดิฉันลองวิธีที่คุ้นเคยผลักเต็มแรง โอ้! ล็อคค่ะ ทีนี้ก็เลยลองดึงเข้าหาตัวก็เปิดไม่ได้อีกค่ะ เอ..หรือว่าล็อคจริงเพราะตอนนั้นก็เย็นแล้วเขาคงปิด แต่แม่บ้านที่อยู่ด้านในก็ชี้มือชี้ไม้ว่าให้ผลักออก ก็ผลักไม่ได้ เธอเลยเดินมาเปิดให้ แหะ แหะ เฟอะตามเคยค่ะ เพราะเขาเปิดอีกด้านหนึ่ง ดิฉันผลักด้านซ้ายซึ่งปิดอยู่ แต่ด้านที่เปิดคือด้านขวาค่ะ เฮ้อ!
คราวหน้าเอาอีก ไปสมัครงานอีกเหมือนกัน กระจกใสสองด้านเหมือนกัน ก็คิดอย่างกระหยิ่มยิ้มย่องว่าคราวนี้หนา ข้าคงไม่มีปัญหาหรอกนะ
โดยไม่ชักช้า ข้าพเจ้าก็ผลักประตู เอ๊ะ! ไม่เปิด เอ้า! งั้นสงสัยต้องดึงมั้ง ก็เปิดไม่ได้อีก ลองทั้งผลักทั้งดันสองข้างทั้งซ้ายขวา ก็ยังเปิดไม่ได้อยู่ดี เกิดโมโหจนแทบจะพังประตูเข้าไปแล้ว แม่บ้านเดินผ่านมาเห็นพอดี บอกว่าดูกรท่านผู้เจริญ ประตูของเรานี้ต้องมีรหัสเปิดจ้ะ ไม่ใช่ว่าใครๆก็เข้าได้นะท่าน บริษัทนี้ต้องปลอดภัยไว้ก่อน ว่าแล้วนางก็พลางกดรหัสประตูเปิดให้ แหม ไม่บอกไม่รู้นะเนี่ย!!!
ประสบการณ์แค่นี้ยังแค่เบบี้แบเบาะเท่านั้นเองค่ะ ถ้าจะอายก็แค่ตัวเอง ของเพื่อนคนหนึ่งสิ ไปอายไกลถึงต่างแดน ก็ประตูส่วนใหญ่ในประเทศผู้เจริญ อย่างมะกันนั้น เขาไม่ต้องออกแรงผลักหรือดันให้เมื่อยหรอก แค่เดินเข้าไปในรัศมีเลเซอร์เท่านั้น ประตูก็จะเปิดโดยอัตโนมัต ก็เลยคุ้นเคยกับการเดินเข้าออกอย่างราชาราคามิตรภาพ
แล้วอยู่มาวันหนึ่งหล่อนอยากจะเดินเข้าทางเข้าห้างของโรงแรมที่ไม่คุ้นเคย คราวนี้ประตูไม่เปิดอย่างเคย ก็เลยสาละวนเดินเลียบๆ อยู่หน้าทางเข้า ลองเอาหัวแหย่ทางโน้นทางนี้ที่คิดว่าจะเป็นทิศทางของแสงเลเซอร์อัตโนมัต ลองเอามือลูบๆตรงประตู ประตูก็ไม่เปิด เอ! เจ้าหล่อนหยุดคิด พลางถอยมาตั้งหลัก แล้วก็ก้มๆเงยๆดูว่าจะเข้าไปข้างไนได้อย่างไร สักครู่มีคุณนายนางหนึ่งผ่านมาทำหน้าประหลาดๆในท่าทางของเพื่อนคนนี้ ว่าแล้วก็ผลักประตูนั้นเดินเข้าไปหน้าตาเฉย เพล้ง! เปล่าไม่ใช่เสียงกระจกหรอกค่ะ หน้าเพื่อนดิฉันเอง แหม! ก็นึกว่าประตูอัตโนมัตทั้งประเทศนี่หว่า เจ้าหล่อนครวญ
นี่แค่ตัวอย่างเล็กๆน้อยๆว่าด้วยเรื่องของประตูเท่านั้นเอง อันที่จริงแล้วประตูยังออกแบบมาให้มีวิธีเปิดปิดอีกหลากหลายวิธี จนบางทีกลายเป็นความตื่นเต้นที่ต้องลุ้นว่าประตูนี้หนาจะเปิดอย่างไรหนอ ดูสิคะประตูแค่นี้ทำให้ดิฉันต้องระวังตัวขนาดนี้เลยเชียว
ช้าก่อนโยม โปรดใจเย็น น้องชายเอ๋ยใจเย็นๆ ก็เรื่องที่จะเล่า มันก็เป็นเรื่องประตู๊ ประตู กับคนซื่อบื้อคนหนึ่งน่ะ เป็นประสบการณ์เล็กๆน้อยๆ ที่อยากจะเขียนเก็บไว้ดูน่ะ
คือว่าสมัยนี้น่ะนะ อะไรต่อมิอะไรที่แม้แต้จะเป็นเรื่องง่ายๆในชีวิตประจำวันนั้นน่ะก็ล้วนต้องเกี่ยวข้องกับนวัตกรรมใหม่ และเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่เอามาประสมประสานกัน โดยเชื่อว่าไอ้นวัตกรรมใหม่
พวกนั้นจะช่วยให้ชีวิตของเราๆท่านๆสะดวกสบายขึ้นมากมายก่ายกอง
เหล่าบรรดาผู้ผลิตสินค้าก็ขยันคิด ขยันออกแบบ ขยันผลิตกันออกมาซะจริง ซึ่งนี่แหละที่กำลังจะกล่าวถึง ก็เทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับประตู ไงล่ะ
เอ! บางท่านอาจจะสงสัยทำไมต้องเป็นประตูด้วยล่ะ อย่างอื่นมีอีกเยอะแยะไม่รู้จักเอามาพูดถึง
แหม ก็พูดเรื่องอื่นมันก็ธรรมดาและไม่น่าสนใจน่ะสิคะท่านผู้ชม จะเขียนเรื่องทั้งทีก็ต้องหยิบยกเรื่องที่มันมิธรรมดาเป็นธรรมดา (เอ๊ะ! ยังไงวะจะธรรมดาหรือไม่ธรรมดากันวะเนี่ย แหะ แหะ ไม่ธรรมดาค่ะ โปรดอ่านต่อเถิด ขอร้อง)
อ้าว ถึงไหนแล้วล่ะ ลืม
อ้อ ก็เรื่องของประตูเนื่ยล่ะที่ดิฉันมักจะมีปัญหากับมันบ๊อย บ่อย จนต้องเพิ่มความระมัดระวังเป็นพิเศษ
ประตูที่ว่านี้ก็เป็นประตูเข้าออกธรรมดานี่ล่ะ แต่เขาทำออกมาให้มันไม่ธรรมดา รึบางทีมันก็แสนจะธรรมดา แต่ดันเข้าใจผิดคิดไปเองว่ามันไม่ธรรมดา ปวดเศียรเวียนหัวดีไหมล่ะท่านผู้ชม สำหรับตัวดิฉันเอง มีอยู่บ่อยๆที่ดิฉันต้องลุ้นว่าประตูที่ดิฉันจะผ่านเข้าไปนี้มันมีวิธีเปิดอย่างไรเหรอ
ด้วยความที่เป็นอะไรไม่ทราบที่มักให้มีโอกาสเจอะเจอกับประตูหลากรูปแบบเพราะ
ความที่ต้องไปติดต่อสถานที่ต่างๆ ซึ่งแต่ละที่ก็ออกแบบประตูให้ไม่เหมือนกัน เพราะ
ฉะนั้นความคุ้นเคยในแบบๆหนึ่งก็อาจใช้ไม่ได้ในอีกที่หนึ่ง
ปกติดิฉันจะคุ้นเคยกับประตูแบบผลักเข้าออกธรรมดา แต่มีบางที่ต้องมีเทคนิคค่ะ
ที่วัดแห่งหนึ่งที่ดิฉันต้องไปธุระ ประตูที่จะเปิดเข้าไปในส่วนสุสานของวัด ปกติจะเปิดแง้มๆให้ผลักเข้าได้ทันที
แล้วอยู่มาวันหนึ่ง ซึ่งเขาปิดอย่างเรียบร้อย ดิฉันก็นึกว่าเขาล็อค เลยขอให้คนมาช่วยเปิด เขาก็บอกให้ผลักเข้าไปเลย แต่..มันก็ไม่เปิด เขาก็เกาหัวแกรกแล้วเดินมาเปิดให้ โดยไม่ต้องใช้กุญแจเลยค่ะ แค่บิดล็อคนิดเดียวเท่านั้นเอง ประตูสวรรค์ก็เปิดแล้ว นี่ขนาดประตูธรรมดาที่ไม่มีเทคโนโลยีเลยนะเนี่ย ดิฉันอดเซ็งในความเฟอะของตัวเองไม่ได้ ก็เลยจำไว้ว่าอ้อประตูนี้นะมันเปิดอย่างนี้นะ เริ่มจำทีละอย่างเป็นทีละประตูไป แต่ก็ยังรู้สึกว่าคุ้นเคยกับการผลักประตูมากกว่าประตูแบบที่ต้องดึงเข้าหาตัว
อีกครั้งหนึ่งไปสมัครงาน ประตูเข้าบริษัทเป็นกระจกใสมีสองบานด้านซ้ายขวา มองเข้าไปเห็นคนอยู่ด้านใน ดิฉันหยุดชั่งใจสักครู่ เพื่อจะดุว่าเจ้าประตูนี้หนาจะเปิดทางไหนหนอ
คิดได้ดังนั้นดิฉันลองวิธีที่คุ้นเคยผลักเต็มแรง โอ้! ล็อคค่ะ ทีนี้ก็เลยลองดึงเข้าหาตัวก็เปิดไม่ได้อีกค่ะ เอ..หรือว่าล็อคจริงเพราะตอนนั้นก็เย็นแล้วเขาคงปิด แต่แม่บ้านที่อยู่ด้านในก็ชี้มือชี้ไม้ว่าให้ผลักออก ก็ผลักไม่ได้ เธอเลยเดินมาเปิดให้ แหะ แหะ เฟอะตามเคยค่ะ เพราะเขาเปิดอีกด้านหนึ่ง ดิฉันผลักด้านซ้ายซึ่งปิดอยู่ แต่ด้านที่เปิดคือด้านขวาค่ะ เฮ้อ!
คราวหน้าเอาอีก ไปสมัครงานอีกเหมือนกัน กระจกใสสองด้านเหมือนกัน ก็คิดอย่างกระหยิ่มยิ้มย่องว่าคราวนี้หนา ข้าคงไม่มีปัญหาหรอกนะ
โดยไม่ชักช้า ข้าพเจ้าก็ผลักประตู เอ๊ะ! ไม่เปิด เอ้า! งั้นสงสัยต้องดึงมั้ง ก็เปิดไม่ได้อีก ลองทั้งผลักทั้งดันสองข้างทั้งซ้ายขวา ก็ยังเปิดไม่ได้อยู่ดี เกิดโมโหจนแทบจะพังประตูเข้าไปแล้ว แม่บ้านเดินผ่านมาเห็นพอดี บอกว่าดูกรท่านผู้เจริญ ประตูของเรานี้ต้องมีรหัสเปิดจ้ะ ไม่ใช่ว่าใครๆก็เข้าได้นะท่าน บริษัทนี้ต้องปลอดภัยไว้ก่อน ว่าแล้วนางก็พลางกดรหัสประตูเปิดให้ แหม ไม่บอกไม่รู้นะเนี่ย!!!
ประสบการณ์แค่นี้ยังแค่เบบี้แบเบาะเท่านั้นเองค่ะ ถ้าจะอายก็แค่ตัวเอง ของเพื่อนคนหนึ่งสิ ไปอายไกลถึงต่างแดน ก็ประตูส่วนใหญ่ในประเทศผู้เจริญ อย่างมะกันนั้น เขาไม่ต้องออกแรงผลักหรือดันให้เมื่อยหรอก แค่เดินเข้าไปในรัศมีเลเซอร์เท่านั้น ประตูก็จะเปิดโดยอัตโนมัต ก็เลยคุ้นเคยกับการเดินเข้าออกอย่างราชาราคามิตรภาพ
แล้วอยู่มาวันหนึ่งหล่อนอยากจะเดินเข้าทางเข้าห้างของโรงแรมที่ไม่คุ้นเคย คราวนี้ประตูไม่เปิดอย่างเคย ก็เลยสาละวนเดินเลียบๆ อยู่หน้าทางเข้า ลองเอาหัวแหย่ทางโน้นทางนี้ที่คิดว่าจะเป็นทิศทางของแสงเลเซอร์อัตโนมัต ลองเอามือลูบๆตรงประตู ประตูก็ไม่เปิด เอ! เจ้าหล่อนหยุดคิด พลางถอยมาตั้งหลัก แล้วก็ก้มๆเงยๆดูว่าจะเข้าไปข้างไนได้อย่างไร สักครู่มีคุณนายนางหนึ่งผ่านมาทำหน้าประหลาดๆในท่าทางของเพื่อนคนนี้ ว่าแล้วก็ผลักประตูนั้นเดินเข้าไปหน้าตาเฉย เพล้ง! เปล่าไม่ใช่เสียงกระจกหรอกค่ะ หน้าเพื่อนดิฉันเอง แหม! ก็นึกว่าประตูอัตโนมัตทั้งประเทศนี่หว่า เจ้าหล่อนครวญ
นี่แค่ตัวอย่างเล็กๆน้อยๆว่าด้วยเรื่องของประตูเท่านั้นเอง อันที่จริงแล้วประตูยังออกแบบมาให้มีวิธีเปิดปิดอีกหลากหลายวิธี จนบางทีกลายเป็นความตื่นเต้นที่ต้องลุ้นว่าประตูนี้หนาจะเปิดอย่างไรหนอ ดูสิคะประตูแค่นี้ทำให้ดิฉันต้องระวังตัวขนาดนี้เลยเชียว
เรื่องของประตู
Reviewed by SukiDraGon
on
4:48 AM
Rating:
No comments: