ช่วงนี้มีแคมเปญทาง social media อันหนึ่ง ซึ่งหลายคนชอบ แล้วก็แชร์กันไปในวงกว้าง เป็นแคมเปญลักษณะที่ว่า ถ้าโพสต์รูปขาวดำ แล้วติดแฮชแท็ก (#) ชื่อโครงการ กับแฮชแทกชื่อแบรนด์สินค้านั้นแล้ว แล้วบริษัทจะบริจาคเงินสิบบาทต่อรูปที่โพส ต์เพื่อบริจาคการกุศล ฟังดูแล้วก็น่าสนใจ ทำความดีนี้มันช่างง่าย แค่โพสต์รูปแล้วใส่ # แล้วแชร์ แล้วก็มีคนบริจาคเงินไปทำความดีให้เราแล้ว ง่ายๆ ดี ก็ช่วยๆ กันไปสินะ รออะไร
แต่จริงๆ ก็อยากบอกให้รอ..นิดนึ่งนะ..หยุดคิดสักห้า วิก็ยังดี..ใช่ว่าไม่เห็นด้วยกับการทำความ ดี เพียงแต่ว่า การจะทำความดีสมัยนี้ เราต้องมีสติพิจารณากันให้มากขึ้นสักหน่อย ก่อนจะตกเป็นเครื่องมือหรือเหยื่อที่ติดกั บดักความสงสารที่ส่งผ่านมาหาเราด้วยรูปแบบ ต่างๆ
ไม่ได้กำลังกล่าวหากรณีตัวอย่างที่กล่าวถึ งข้างต้น ไม่ได้ต่อต้านการทำแคมเปญลักษณะนี้ด้วย แต่อยากจะหยิบยกมาเล่าสู่กันฟัง ในฐานะที่ก็เคยทำงานเบื้องหลังด้วยแคมเปญค ล้ายๆ อย่างนี้มาก่อน ถือว่าเป็นการบอกเล่า และชวนให้มองกันหลายๆ มุม เล่าเพื่อให้เกิดความเข้าใจ ไม่ใช่กล่าวหา
แนวคิดในการทำแคมเปญ CSR แบบนี้ไม่ใช่แนวคิดใหม่แต่อย่างใด รูปแบบนี้เคยมีทำกันมาหลายปีแล้ว เพียงแต่เปลี่ยนเครื่องมือในการสื่อสาร ไม่กี่ปีที่ผ่านมาก็เคยมีบริษัทที่ทำแคมเป ญ CSR ด้วยวิธีคล้ายๆ กันนี้้ แต่สื่อสารผ่านทาง sms และก็มีการจำกัดงบประมาณสูงสุดสำหรับแคมเป ญ เท่าไหร่ก็ว่ากันไป แคมเปญนี้ก็เช่นกัน งบประมาณบริษัทตั้งไว้ที่ หนึ่งแสนบาท แชร์ออกไปเท่าไหร่ โพสต์รูปกันมากน้อยแค่ไหน บริษัทก็ตั้งใจไว้ว่าจะให้หนึ่งแสนบาท ไม่มากไม่น้อยสำหรับการทำแคมเปญ และด้วยบริบทการสื่อสารสมัยใหม่ที่คนหันมา ใช้สื่อสารผ่าน social media เพิ่มมากขึ้น ก็เลยเปลี่ยนมาทำแคมเปญผ่าน social media แทน ซึ่งก็ค่อนข้างได้ผลมาก มีคนส่งแชร์ต่อๆ กันไปอย่างกว้างขวาง เหมือนความดีที่ส่งต่อกันไปอย่างไม่สิ้นสุ ด
ถ้ามองในแง่มุมของการทำประชาสัมพันธ์โครงก าร ถือว่าโครงการนี้ประสบความสำเร็จอย่างสูงม าก มีคนให้ความสนใจร่วมโครงการ โพสต์รูป ติดแฮชแท็ก และชักชวนบอกต่อๆ กันไป ทำตามๆกันไป ชื่อแบรนด์ก็ติดหู ติดตา ติดมือ ติดใจผู้บริโภคกันไปไม่น้อย ผู้บริหารบริษัทนี่ควรพิจารณาให้รางวัลคนท ำโครงการกันเลยทีเดียว เพราะใช้แนวคิดการทำ CSR มาประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์องค์กรได้เป็นอย่ างดี
ในแง่ขององค์กรการกุศลที่เป็นผู้ได้รับประ โยชน์ ก็ถือว่ามีโอกาสได้ประชาสัมพันธ์กระตุ้นให ้คนสนใจได้มากขึ้น ตัวองค์กรมีตัวตนมานานแล้ว แต่ใครสักคนหยิบยกขึ้นมา ก็ทำให้คนทั่วไปหันมาสนใจมากขึ้น อันนี้ก็ถือว่าเป็นความดีของโครงการ
สำหรับในแง่มุมของผู้บริโภค แคมเปญนี้ทำให้รู้สึกว่าคนไทยนี่ใจดี ใจดีมากก..จริงๆ อะไรที่เชื่อว่าเป็นความดี ก็พร้อมจะทำ พร้อมจะช่วย พร้อมจะให้ความร่วมมือ คนไทยน่ารักก็ตรงนี้ ถ้าไม่เหลือบ่ากว่าแรงเกินไป เราก็มีน้ำใจให้กันเสมอ
สิ่งที่น่าสนใจชวนให้คิด คือ หลายๆ คนช่วยแชร์ ช่วยโปรโมทโครงการนี้ โดยไม่ได้ดูรายละเอียดว่า เงินบริจาคจะบริจาคอย่างไร ใครเป็นคนบริจาค บริจาคจริงหรือไม่ เท่าไหร่ ให้ไม่อั้น หรืออย่างไร? เราก้มหน้าก้มตาแชร์กันไป ไม่ได้ตั้งคำถาม และเราก็กลายเป็นสื่อช่วยโปรโมทแบรนด์อย่า งเต็มใจ
ถามว่าผิดมากไหม ถ้าจะช่วยโปรโมทกันไปในลักษณะนี้...ไม่ผิด เลยสักนิด..แค่ชวนให้คิดเล่นๆ เฉยๆ ว่าถ้าเรารู้ ถ้าเราคิด ถ้าเราสนใจอีกสักนิด เราจะยอมตกเป็นเครื่องมือช่วยโปรโมทแบรนด์ โดยเต็มใจไหม หลายคนอาจจะบอกว่าก็ไม่เห็นเป็นไร ทำไมต้องคิดมากขนาดนี้ ..ก็ใช่..แต่เชื่อว่าหลายคนก็รู้สึกว่า ไม่ใช่ และไม่อยากตกเป็นเครื่องมือ ..
สิ่งที่อยากบอกก็คือ ถ้าไม่อยากเป็นเครื่องมือ เราก็ต้องมีสติ ต้องยั้งคิด ต้องตั้งคำถาม ...การจะแชร์หรือส่งต่อข้อมูลอะไร ต่อให้ข้อมูลนั้นดูดีแค่ไหน..ก่อนจะแชร์หร ือร่วมขบวนการอะไรออกไป ให้พิจารณาให้มากๆ ..หาไม่ เราก็อาจตกเป็นเครื่องมือของอะไรต่อมิอะไร ได้อีกมากมาย โดยเฉพาะเหยื่อที่มาในรูปแบบของความน่าเห็ นใจ ที่มีให้เห็นมากขึ้นทุกทีในเวลานี้..
บางคนอาจคิดว่า เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่ ไม่เห็นน่าจะต้องเอามาเป็นประเด็นร่ายยาวขนาดนี้ แต่ก็นั่นแหละ ..ปัญหาใหญ่ๆ ในสังคมที่มีกันอยู่มากมายในทุกวันนี้ ก็ล้วนมีที่มาจากเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่เราลืมฉุกคิดกันทั้งนั้นไม่ใช่หรือ ..
กรณีนี้ตัวอย่างนี้ อาจจะเป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆ ที่ไม่ค่อยสลักสำคัญอะไรนัก ก็ได้แต่หวังว่ากรณี หนักๆ จะไม่เกิดขึ้น จากความหลงลืมที่จะใส่ใจในเรื่องเล็กน้อยเหล่านี้ก็แล้วกัน...
แต่จริงๆ ก็อยากบอกให้รอ..นิดนึ่งนะ..หยุดคิดสักห้า
ไม่ได้กำลังกล่าวหากรณีตัวอย่างที่กล่าวถึ
แนวคิดในการทำแคมเปญ CSR แบบนี้ไม่ใช่แนวคิดใหม่แต่อย่างใด รูปแบบนี้เคยมีทำกันมาหลายปีแล้ว เพียงแต่เปลี่ยนเครื่องมือในการสื่อสาร ไม่กี่ปีที่ผ่านมาก็เคยมีบริษัทที่ทำแคมเป
ถ้ามองในแง่มุมของการทำประชาสัมพันธ์โครงก
ในแง่ขององค์กรการกุศลที่เป็นผู้ได้รับประ
สำหรับในแง่มุมของผู้บริโภค แคมเปญนี้ทำให้รู้สึกว่าคนไทยนี่ใจดี ใจดีมากก..จริงๆ อะไรที่เชื่อว่าเป็นความดี ก็พร้อมจะทำ พร้อมจะช่วย พร้อมจะให้ความร่วมมือ คนไทยน่ารักก็ตรงนี้ ถ้าไม่เหลือบ่ากว่าแรงเกินไป เราก็มีน้ำใจให้กันเสมอ
สิ่งที่น่าสนใจชวนให้คิด คือ หลายๆ คนช่วยแชร์ ช่วยโปรโมทโครงการนี้ โดยไม่ได้ดูรายละเอียดว่า เงินบริจาคจะบริจาคอย่างไร ใครเป็นคนบริจาค บริจาคจริงหรือไม่ เท่าไหร่ ให้ไม่อั้น หรืออย่างไร? เราก้มหน้าก้มตาแชร์กันไป ไม่ได้ตั้งคำถาม และเราก็กลายเป็นสื่อช่วยโปรโมทแบรนด์อย่า
ถามว่าผิดมากไหม ถ้าจะช่วยโปรโมทกันไปในลักษณะนี้...ไม่ผิด
สิ่งที่อยากบอกก็คือ ถ้าไม่อยากเป็นเครื่องมือ เราก็ต้องมีสติ ต้องยั้งคิด ต้องตั้งคำถาม ...การจะแชร์หรือส่งต่อข้อมูลอะไร ต่อให้ข้อมูลนั้นดูดีแค่ไหน..ก่อนจะแชร์หร
บางคนอาจคิดว่า เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่ ไม่เห็นน่าจะต้องเอามาเป็นประเด็นร่ายยาวขนาดนี้ แต่ก็นั่นแหละ ..ปัญหาใหญ่ๆ ในสังคมที่มีกันอยู่มากมายในทุกวันนี้ ก็ล้วนมีที่มาจากเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่เราลืมฉุกคิดกันทั้งนั้นไม่ใช่หรือ ..
กรณีนี้ตัวอย่างนี้ อาจจะเป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆ ที่ไม่ค่อยสลักสำคัญอะไรนัก ก็ได้แต่หวังว่ากรณี หนักๆ จะไม่เกิดขึ้น จากความหลงลืมที่จะใส่ใจในเรื่องเล็กน้อยเหล่านี้ก็แล้วกัน...
..ส่งต่อความดี..อย่างมีสติ..นะจ๊ะ...
Reviewed by SukiDraGon
on
11:01 PM
Rating:
No comments: